นิทรรศการระดับโลกงานที่ 2 ถัดจาก Titanic the Artifact Exhibition 100th Anniversary ตอนปี 2555 คราวนี้ไม่ได้ฉายเดี่ยวหนีบน้องชายมาด้วย งานนี้ตั๋วมี 2 ราคา คือ ราคาวันหยุด กับราคาวันธรรมดา เนื่องจากวันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวันหยุดกลางอาทิตย์คนจึงล้นหลามมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็กๆ ตอนแรกว่าจะมาให้ทันรอบ 10:00 น. แต่ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากงานนี้จัดที่ BCC Hall CentralPlaza ลาดพร้าว บัตร the one card ก็เลยใช้เป็นส่วนลดได้ตั้งใบละ 150 เหลือราคา 350 บาท + ค่าออกบัตรเบ็ดเสร็จสนนราคาอยู่ที่ 370 บาทต่อหัว ไม่ต้องเสียค่าเช่า audio guide เพราะรวมอยู่ในนั้นแล้ว ได้ตั๋วมาตอนเที่ยวก็รีบแผ่นไปกินข้าวอย่างไวก่อนจะเพื่อมาเข้าแถวรอเข้ารอบ 13.00 น.
วันนี้คนเยอะมาจริงๆค่ะ รอบ 13.00 น. แถวเลี้ยวไปเลี้ยวมาประมาณ 3 ทบได้ สำหรับคนที่ไม่รอ audio guide สามารถเข้างานได้เลย แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบฟังคำบรรยายเลยเลือกที่จะรอ เนื่องจากวันนี้คนเยอะ ห้องแรกที่จำลองเป็นลิฟท์ที่จะส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่แท่นปล่อยเลยมีคนแน่นเป็นพิเศษ ตรงนี้ไม่มีอะไรหวือหวา เหมือนจะมีพื้นสั่นนิดหน่อย(หรือจะมโนไปเองก็ไม่รู้) ตามจอภาพที่ฉายว่าเรากำลังไต่ระดับความสูง ก่อนที่ไฟไซเรนจะเปิดพร้อมกับประตูอีกด้านไปสู่ทางเดินเข้าสู่ยานอวกาศ
ก้าวแรกของการไปสู่อวกาศของมนุษย์เกิดจากจินตนาการค่ะ ห้องนี้จะคล้ายกับห้องภายในยานอวกาศในจินตนาการซึ่งถ่ายทอดผ่านตัวอักษร และภาพประกอบ ในห้องนี้ตรงกลางจะเป็นจอภาพประกอบกัน ฉายประวัติของนักฝันในศตวรรษก่อน ก่อนที่ความฝันของพวกเขาจะค่อยๆกลายเป็นความจริงในศตวรรษถัดมา ส่วนผนังด้านหลังจะเป็นทำเนียบของเหล่านักฝันค่ะ บรรยากาศน่าถ่ายรูปมาก เสียดายห้องมืดไปหน่อย บรรดาบุคคลในภาพมีชื่อเสียงขนาดที่เราไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวอวกาศยังเคยได้ยินชื่อ โดยส่วนตัวรักที่จะแหงนหน้าดูดาวมากกว่าออกไปนอกโลกเองค่ะ
และแล้วความฝันของนักฝันในศตวรรษก่อนก็กลายเป็นความจริง เริ่มด้วยการส่งดาวเทียมไปโคจรรอบโลก ก่อนที่การท่องไปในอวกาศจะเป็นรูปเป็นร่างเมื่อยูริ กาการิ เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ขึ้นไปยังอวกาศ ในสมัยนั้นเป็นยุคการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีอวกาศระหว่างสหรัฐอเมริกาและโซเวียตเป็นไปอย่างเข้มข้น ก่อนที่โซเวียตจะเป็นฝ่ายเฉือนชนะไปด้วยการส่งยูริขึ้นไปได้สำเร็จ ก่อนหน้าอลัน เชิฟเพิร์ดของอเมริกาเพียง 1 เดือนเท่านั้น ลุงคนนี้จำชื่อแกได้ตั้งกะตอนเรียนชั้นประถม จุดนี้จะจัดบอร์ดแบ่งเป็น 2 ฝั่ง สีแดงเป็นฝั่งโซเวียตส่วนสีฟ้าเป็นฝั่งสหรัฐอเมริกา ถ้าให้เลือกหลงฝั่งสีฟ้ามากกว่ากับคำคมของอดีตประธานาธิบดีเคเนดี้ “change is the law of life and those who look only past and present are curtain to miss the future”
ถัดไปเป็นการจำลองบรรยากาศของบ้านชาวอเมริกันที่กำลังรอดูการถ่ายทอดสดเหตุการณ์การส่งจรวดขึ้นสู่อวกาศโดยประธานาธิบดีเคเนดี้เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์เห็นแล้วนึกถึงตอนที่เราดูการถ่ายทอดสดการส่ง ดาวเทียมไทยคม 1 ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทยขึ้นสู่อวกาศสมัยเรียนประถม ตอนนี้ดาวเทียมดวงนั้นน่าจะหมดอายุการใช้งานกลายเป็นขยะอวกาศไปแล้วกระมัง จุดนี้สื่อให้เห็นความการเดินทางสู่อวกาศกลายเป็นความฝันของเด็กๆ ห้องถัดไปเปิดให้ส่องดูดาวค่ะ กล้องนี้เหนือชั้นมากดวงดาวจะเปลี่ยนไปตามทิศทางที่เราส่ายกล้องไปเท่มาก ทางเดินต่อไปนี้เราจะได้เห็นชิ้นส่วนของความฝันแห่งการเดินทางสู่อวกาศกันแล้ว เริ่มจากการคำนวณเชิงทฤษฎี ซึ่งจุดนี้เขียนบนกระจก สวยมากๆ เห็นแล้วนึกถึงกาลิเลโอเลย แต่งห้องใช้บอร์ดแก้วก็สวยดีเหมือนกัน
ห้องถัดไปจัดแสดงการเดินทางขึ้นสู่อวกาศ ว่าด้วยยานอวกาศแบบต่างๆ และชิ้นส่วนของจรวดในยุคก่อน ซึ่งในการส่งยานขึ้นไปในอวกาศแต่ละครั้งจะต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมหาศาล โดยบรรจุอยู่ในชิ้นส่วนต่างๆที่สามารถปลดทิ้งได้เมื่อใช้งานแล้วเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งในถังเชื้อเพลิงจะบรรจุเชื้อเพลิง 2 สถานะ คือ ของเหลวที่จุดระเบิดได้ไว้ และของแข็งซึ่งเผาไหม้ได้นาน สุดท้ายชิ้นส่วนที่เหลือรอดไปโคจรในอวกาศจะเหลือเล็กนิดเดียว ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นกระสวยอวกาศที่ส่วนยานจะสามารถนำมาใช้เดินทางไปในอวกาศได้อีกครั้ง เพื่อลดรายจ่ายในการสร้างยานสำรวจอวกาศลง ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นค่อนข้างซับซ้อนมาก ท่อโน่นนี่เยอะแยะไปหมด
ในที่สุดมนุษย์ก็สามารถเดินทางไปฝากรอยเท้าไว้บนดวงจันทร์ได้สำเร็จ ชุดอวกาศที่เราเห็นกันจนคุ้นตา พัฒนามาจากชุดป้องกันแรงดันของนักบินเครื่องบินรบในสมัยก่อน ซึ่งหน้าตาดูปุปะมาก เหมือนเดินออกมาจากหนังสยองขวัญยุคโบราณชอบกล ห้องนี้จะจัดแสดงยานสำรวจพื้นผิวรุ่นต่างๆทั้งของทางฝั่งอเมริกาและโซเวียต โดยส่วนตัวชอบยานสำรวจของโซเวียตมากกว่าเพราะหน้าตาน่ารักกว่า (มีสาระจริงๆนะตัวเธอ) ผิดกับยานของอเมริกาที่ทำเหมือนรถยนต์นั่งธรรมดา อีกส่วนที่น่าสนใจคือข้าวของที่มนุษย์อวกาศต้องนำติดตัวไปใช้นอกโลก ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ซึ่งถึงชื่อจะหรูแต่มันดูไม่น่าอร่อย ที่ติดใจสุดคงเป็นอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยเพื่อใช้ในการซ่อมชุดอวกาศ เออนะ อยู่มาตั้งนานไม่เคยนึกถึง ของมันใช้งานก็ต้องมีขาดบ้างอะไรบ้างเป็นธรรมดา
เก็บตกก่อนเข้าสู่ห้องถัดไป เป็นจุดที่เก็บรวบรวมความทรงจำของเหล่าบรรดาผู้มีความฝันทั้งหลายที่เสียชีวิตลงระหว่างการพยายามไล่ล่าความฝัน บางคนก็เสียชีวิตทั้งๆที่ยังไม่เคยได้ออกไปนอกชั้นบรรยากาศของโลก บางคนก็เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจต่อๆมา ติดกันมีการกล่าวถึงโครงการ mercury 13 ซึ่งรวบรวมบรรดานักบินหญิงที่สามารถ จนได้รับการคัดเลือกเข้าทดสอบเพื่อเป็นนักบินอวกาศ แต่สมัยนั้นความเท่าเทียมกันระหว่างเพศยังไม่เหมือนสมัยนี้ โครงการนี้จึงต้องพับไปทั้งๆที่พวกเธอผ่านการทดสอบเหมือนกับนักบินชายทุกประการ
ห้องถัดไปจะเล่าถึงประวัติของโครงการอวกาศต่างๆ ที่ดราม่ามากๆยกให้จุดหมายเลข 6.2 (จำชื่อยานไม่ได้ ขออภัย) ซึ่งเล่าถึงการออกแบบประตูฉุกเฉินว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งระหว่างปฏิบัติภารกิจเมื่อยานตกลงบนผิวน้ำและจมลง นักบินในภารกิจนั้นแจ้งว่าประตูฉุกเฉินเปิดออกเองจนเป็นผลให้เขาไม่สามารถรักษายานไว้ได้ ต้องปล่อยให้ยานจมลงสู่ก้นทะเล ซึ่ง ณ ตอนนั้นไม่มีหลักฐานใดนอกจากคำบอกเล่าของนักบิน ภารกิจต่อมาทีมวิศวกรเลยออกแบบซะแน่นหนา มาม่ายังไม่จบแค่นั้นเมื่อดันเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาในตัวยาน ด้วยความที่ประตูแน่นเกินไป นักบินในภารกิจนั้นหนีออกมาไม่ทันจนเกิดเป็นเหตุโสกนาฏกรรม หลังจากนั้นก็มีการคิดถึงมาตรฐานของประตูฉุกเฉินกันอย่างจริงจัง อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ชอบยกให้ สไครูล ไม้บรรทัดที่มีสูตรสำหรับคำนวณ วิศวกรสมัยก่อนเค้าใช้กันก่อนที่คอมพิวเตอร์จะมายึดอำนาจ
โครงการอพอลโลเป็นชื่อที่เราคุ้นหูกันดี เมื่อยานอพอลโล 11 สามารถปฏิบัติภารกิจส่งมนุษย์ลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ แต่ที่เราคุ้นเคยจากการดูภาพยนตร์มากที่สุดต้องยกให้ อพอลโล 13 ซึ่งเกิดอุบัติเหตุระหว่างส่งยานขึ้นสู่อวกาศทำให้นักบินทั้ง 3 ไม่สามารถลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ เราได้เห็นความพยายามของทีมภาคพื้นดินที่เรียกกันติดปากว่า ฮุสตัน ในการรักษาชีวิตของนักบินอวกาศอย่างสุดกำลัง โครงการนี้ถึงจะไม่สามารถไปถึงจุดหมายอย่างที่มุ่งหวังแต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะสามารถนำนักบินอวกาศกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัย
ปิดท้ายด้วยแบบจำลองกระสวยอวกาศแอตแลนติส ที่เพิ่งปลดระวางไปไม่นานหลังจากเดินไปไปสู่อวกาศถึง 126 เที่ยว ภาพในห้องนักบินไม่แตกต่างจากหนังอวกาศในปัจจุบันสักเท่าไหร่ ออกจากจุดนี้เป็นส่วนของเครื่องเล่นกับร้านขายของที่ระลึกซึ่งส่วนใหญ่เหมาะกับเด็กๆ ชุดอวกาศที่หมายมั่นปั้นมือก็กลายเป็นแค่สแตนด์ให้ยื่นหน้า แต่ไม่เป็นไรแค่ความรู้ในงานก็คุ้มราคาแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น