หลังจากหมายมั่นปั้นมือมาหลายปี แต่ก็ไม่ได้ไปสักทีเนื่องจากปี 2556 ทางรถไฟปิดซ่อมแซมทำให้งดเดินขบวนรถ ส่วนปีก่อนก็เปิดแค่ไม่กี่ขบวนจนจองไม่ทัน ปีนี้เห็นป้ายโฆษณาตามสถานีรถไฟว่าปีนี้เปิดเดินรถ 9 ขบวน ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับความต้องการ แถมเป็นการเปิดปีละครั้งช่วงต้นฤดูหนาวที่ดอกทานตะวันจะบาน แต่ก็ยังนั่งนอนใจ + ลงรถกลับจากบ้านแล้วมัวแต่ตรงกลับห้อง มารู้ตัวอีกทีก็เกือบจองไม่ทัน สองที่นั่งที่ได้มาเลยต้องนั่งแยกกัน แต่ไม่เป็นไรระหว่างทางส่วนใหญ่ก็อ่านหนังสือกับหลับอยู่ดี แต่หลังจากนั้นมีข่าวออกมาว่าเพิ่มจำนวนตู้แต่ก็เอาเถอะ ลีลามากเดี๋ยวจะตกรถเหมือนปีที่แล้ว ค่าตั๋วรถไฟไปกลับ บางเขน – โคกสลุง ราคาย่อมเยาว์เพียง 270 บาทเท่านั้น
ขบวนรถเข้าเทียบ ชานชลาสถานีบางเขนช้ากว่ากำหนดเวลาที่ 7.12 น.พอสมควร รถไฟขบวนนี้ยาวถึง 15 ตู้ เป็นความยาวในแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้ ช่วงเทศกาลที่ถือว่าเป็นช่วงพีคที่สุดของขนส่งมวลชนก็ยังได้นั่งขบวนรถไฟโล่งๆ เพราะเป็นรถชานเมืองที่วิ่งแค่ลพบุรี ระยะแค่นั้นส่วนใหญ่คนบนรถกลับบ้านกันทุกวันหรือไม่ก็ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว
เราถึงจุดหมายแรก คือ ทุ่งทานตะวันที่บริเวณหุบเขาหิยซ้อน ประมาณ 10.00 น. ทุ่งนี้ บริเวณค่อนข้างกว้างแถมมีวิวเป็นภูเขา เหมาะเจาะมาก แถมดอกไม้ส่วนใหญ่ก็กำลังบานพอดีสวยมากๆ แต่เนื่องจากตรงนี้เป็นจุดจอดเฉพาะกิจ ทางลงเลยลำบากนิดหน่อยเพราะระยะระหว่างบันไดกับพื้นค่อนข้างสูง ซึ่งเขาก็แก้ปัญหาโดยการนำฟางมามัดเป็นฟ่อนสี่เหลี่ยมใช้วางเท้า แต่ก็ต้องระวังหน่อยอย่าเหยียบริมเกินไปไม่งั้นฟางมันจะพลิกได้ค่ะ เรามีเวลาอยู่กันตรงนี้ประมาณ 50 นาที เสียค่าเข้าชม 10 บาท เพื่อลงไปลุยทุ่งทานตะวันตอนลุยออกมาทั้งหมวกทั้งเสื้อติดเกสรเหลืองไปหมด ก่อนขึ้นรถก็แวะซื้อของสักหน่อย อันได้แก่องุ่นสดกับน้ำดอกทานตะวันนั่นเอง เรากลับขึ้นรถตอน 11.00 น. เพื่อไปยังจุดหมายถัดไป
จุดหมายถัดไปถือเป็นความพิเศษของรถไฟขบวนนี้ ซึ่งก็คือจุดจอดรถลอยกลางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นั่นเอง ตรงนี้จะเห็นรถไฟเป็นแนวโค้งชัดเจน ตัวรถไฟที่อยู่บนรางก็เอียงด้วย จอดได้พักหนึ่งระบบน้ำของห้องน้ำรั่วลงมาด้านข้างตามแรงโน้มถ่วงที่เอียงไปด้านหนึ่ง ต้องไล่ปิดวาล์วกันไป หลังจากนั้นรถไฟจะเข้าจอดที่สถานีโคกสลุงเพื่อกลับหัวรถจักรกลับไปที่สถานีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มองๆ สภาพรถไฟท้องถิ่นแถวนี้อยู่ในขั้นกว่าค่ะ คือเทียบกันแล้วที่เรานั่งไปกลับลพบุรีเนี่ยถือว่าใหม่แล้วจ้า
สำหรับจุดจอดรถสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ คือ สถานีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ค่ะ เป็นสถานที่ซึ่งเคยมาครั้งหนึ่งตอนเปิดเขื่อนใหม่ๆ น้ำจะท่วมไม่ท่วมบ้านเราก็ขึ้นอยู่กับเขื่อนนี้ล่ะค้า เปิดเมื่อไหร่ไม่ประมาณครึ่งวันระดับน้ำที่บ้านจะกลายเป็นเมตรครึ่งทันที ทันทีที่รถจอดผู้โดยสารต่างคนต่างก็เตรียมอุปกรณ์กันแดดเดินลงไปหาอาหารกลางวันใส่ท้อง จุดหมายแรกของพวกเราคือ ปลาหมึกย่างไม้ละ 10 บาท ซึ่งปริมาณแตกต่างจากที่เคยกินที่กรุงเทพอย่างชัดเจน ประหนึ่งว่าหมึกที่ปิ้งอยู่บนเตาไดได้จากเขื่อนใกล้ๆไม่ต้องขนข้ามจังหวัดมากระนั้น ตามด้วยข้าวเหนียวไก่ย่างราคาย่อมเยาว์ อิ่ม และอยู่ท้องนะค้า ก่อนที่จะเดินเข้าไปถ่ายรูปริมเขื่อน ป้ายน้องลิงต้อนรับนักท่องเที่ยวคิวค่อนข้างแน่น หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไปเก็บบรรยากาศบนหอชมวิว ด้วยค่าบริการ 20 บาท น่าเสียดายที่เวลาไม่พอที่จะขึ้นรถที่พาวิ่งขึ้นสันเขื่อน เพราะต้องวิ่งกลับไปขึ้นรถตอน 14.00 ซึ่งจะวิ่งยาวพาผู้โดยสารเดินทางกลับ ถึงกรุงเทพก่อนพระอาทิตย์ตกดินอีกจ้า
ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ค่าตั๋วรถไฟ ไฟกลับ | 270 |
ค่าเข้าชมทุ่งทานตะวัน | 10 |
ค่าเข้าขมหอชมวิว | 20 |
ค่าอาหาร | 158 |
ของฝาก | 120 |
ค่ารถเมล์ ไปกลับ | 22 |
รวม | 600 บาทถ้วน |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น