ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เสียมราฐ วันที่ 3

 21 อาหารเช้า_08 21 อาหารเช้า_09 21 อาหารเช้า_07

     วันนี้กว่าจะไสหัวออกจากที่พักก็สายพอดู สิบโมง สิบเอ็ดโมงได้ วันนี้เราเดินทางกันด้วยเท้าสองข้าง โดยอาศัยทิศทางที่สอบถามมาจากอากู๋ เมืองนี้เล็กนิดเดียวค่ะ บริเวณที่เราพักเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จนโรดมสีหนุ จึงไม่น่าแปลกใจที่บริเวณนี้ค่อนข้างเจริญผิดกับบริเวณที่เราขับรถออกไปแค่ครึ่งชั่วโมงลิบลับ แต่สิ่งก่อสร้างที่ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็ยังไม่เปลี่ยนไปคือ กำแพงรูปเทวดายุดนาค แต่อันที่อยู่ตรงวงเวียนนี่น่าจะเป็นของเก่าที่ยกมาจากแถวนครวัดละมั้ง

21 อาหารเช้า_01 21 อาหารเช้า_02 21 อาหารเช้า_03

     โดยจุดหมายปลายทางแรกคือ ร้านอาหาร ก็นะจะเที่ยงอยู่แล้ว ต้องเติมกำลังกันสักหน่อย เป้าหมายของเราคือ ร้านอาหารจีนในห้องแถวค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง เนื่องจากความขี้เกียจในการคิด เราเลยสั่งข้าวผัดกับน้ำแอปเปิ้ลปั่น รสชาติของข้าวผัดก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมาย แต่ที่เด็กคือน้ำแอปเปิ้ลปั่นเค้าใส่กะทิมาด้วยค่ะ ไอ้เราคิดว่าเค้าจะใส่กะทิเฉพาะน้ำมาพร้าวเลยสั่งน้ำแอปเปิ้ล ก็ยังไม่รอดอยู่ดี มิน่าในร้านถึงมีมะพร้าวกองอยู่เพียบ สรุป คือ ถ้าไม่อยากกินกะทิ มาเขมรอย่าสั่งน้ำปั่น สำหรับกะทิที่นี่คงเหมือนน้ำเชื่อมบ้านเรา แต่ที่น่าภูมิใจไม่หายว่าสินค้าไทยส่งออกได้ ก็ตอนมองถาดเครื่องปรุงนี่แหละ แหมช่างคุ้นเคย ภูเขาทอง รับรองมื้อนี้อร่อย

22 ศาลเจ้าเจก เจ้าจอม_01 22 ศาลเจ้าเจก เจ้าจอม_02 22 ศาลเจ้าเจก เจ้าจอม_06

      พอท้องอิ่มก็ได้ฤกา์ออกเดินทางต่อค่ะ เราเดินเลียบไปตามถนน เพื่อตัดสวนสาธารณะไปพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกัมพูชา ระหว่างทางมีพระพุทธรูปให้สักการะบูชาไม่ต่างจากประเทศไทย องค์แรกท่านประดิษฐานอยู่ตรงสามแยกตัววาย ใครนะช่างสร้างหรือท่านประดิษฐานอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีใครกล้าย้ายท่านก็ไม่รู้ ถัดมาอีกนิดเดียวเป็นศาลเจ้าแจก เจ้าจอมค่ะ เคยเห็นในโปรแกรมทัวร์ คิดว่าคนจะเยอะกว่านี้เสียอีก ใตหนึ่งก็อยากเข้าไปไหว้ อีกใจหนึ่งก็ขี้เกียจถอดรองเท้า สรุปว่าสองสาวก็ยกมือไหว้อยู่ตรงหน้าศาลนั่นเอง แล้วก็เดินเลยผ่านไป จะว่าไปทั่วไปในเสียมราฐนี่เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่ต่ำกว่าร้อยปีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นในสวนสาธารณะ หรือสองฝั่งถนนอยากรู้จริงๆว่าเป็นต้นไม่ดั่งเดิมถอนถางป่าสร้างเมือง หรือเพิ่งปลูกตอนสร้างเมืองเสร็จแล้ว แต่ที่แน่ๆ อยากให้เมืองไทยมีต้นไม่ใหญ่ๆแบบนี้บ้างจัง

23 พิพิธภัณฑ์_01 00223 พิพิธภัณฑ์_04 

     ในที่สุดเราก็มาถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัมพูชา มองจากด้านนอกแล้วตัวอาคารค่อนข้างทันสมับทีเดียวค่ะ เพราะเป็นตึกสร้างใหม่ ต่างกับของไทยที่ส่วนใหญ่จะบูรณอาคารเก่ามาดัดแปลงซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ สำหรับค่าเข้าก็โหดได้ใจ 12$ ค่ะ ไม่รู้เพราะราคาค่อนที่ค่อนข้างแพงหรือเปล่า คนที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้เลยน้อย เมื่อเทียบกับบริเวณนครวัดเอง ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นชาวตะวันตกค่ะ หรือไม่ก็กรุ๊ปทัวร์จากญี่ปุ่น ส่วนคนไทยน้อยมาก เจอแค่คนเดียวเอง อาจเป็นเพราะว่าเพิ่มอีกแค่ 8$ ก็จะเท่ากับราคาเข้าอุทยานทั้งอุทยานได้ทั้งวัน ไปวนสถานที่จริงน่าจะคุ้มกว่าก็เป็นได้ คู่มือนำเที่ยวที่วางไว้ให้หยิบมีภาษาไทยด้วยนะเออ

23 พิพิธภัณฑ์_05 003004

     ห้องที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ยกให้ห้องแรกค่ะ กับห้องที่ชื่อว่า 1,000 buddha images ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อ เราจะได้เห็นพระพุทธรูปเต็มไปหมด มีหลายขนาด ที่หน้าห้องมีธูปให้จุดไหว้ พร้อมเซียมซีด้วย เห็นแล้วแอบอย่างนั่งประหนึ่งอยู่ในวัด พระพุทธรูปที่เด่นและแปลก คงเป็นองค์ที่อยู่ในคู่มือ เล่าว่าเป็นแบบจำลองเหตุการตอนที่พระพุทธเจ้าของเราเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ท่านเสียสละนอนลงให้พระบนแอ่งน้ำเพื่อเป็นสะพานให้ท่านข้ามค่ะ ส่วนห้องอื่นๆก็จะเล่าเรื่องของอารยธรรมเขมรอย่างเป็นขั้นเป็นตอนพร้อมสื่อผสม ซึ่งจะเน้นการนับถือองค์เทพทั้ง 3 แห่งศาสนาฮินดู แต่เนื่องจากโบราณวัตถุส่วนใหญ่ของเขา คือ หินสลัก หินสลัก และหินสลัก ดูไปสักพักจะเริ่มเมา ข้าวของไม่ค่อยหลากหลายเหมือนของไทย เราเดินดูแบบอ่านบ้าง ข้ามบ้าง ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ทั่ว

24 ไปรษณีย์เสียมราฐ 25 วัดPROMREATH_1 25 วัดPROMREATH_2

     ขากลับเราเดินไปเรื่อยๆ แล้วก็มาแวะที่ไปรษณีย์เสียมราฐให้เพื่อนสาวส่งไปรษณียบัตรหาตัวเองที่เมืองไทย ตอนแรกก็ลังเลอยู่เพราะมีแบบสวยๆหลายใบ แต่รู้ตัวว่าไม่ใช่คนช่างเก็บ เดี๋ยวสักพักคงได้กวาดลงถังเลยไม่ส่งดีกว่า หลังจากนั้นเราก็เดินเลยไปดูวัดเขมรกันบ้าง รั้ววัดนี้อยู่ตรงข้ามที่พักเลยค่ะ โดยรวมก็คล้ายๆวัดไทย มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สื่อถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ด้วยความซน เลยลองเดินด้อมๆมองๆว่าเมรูเขมรหน้าตาเป็นยังไง เพราะไม่เจอระไรที่คล้ายของไทย มีสงสัยอาคารหลังหนึ่งหมือนกัน แต่ก็นะเค้าไม่กล้าถาม

26 ตลาดเก่า_01 26 ตลาดเก่า_03 26 ตลาดเก่า_07

     ถัดมาอีกนิดหนึ่งเป็นตลาดเก่าค่ะ แหล่งของฝากกับของกิน ว่าแล้วขอเติมพลังสักหน่อย ด้วยขนมกุยช่ายเตาถ่าน ตัวขนมนี่คล้ายๆกับที่ไทยแต่น้ำจิ้มที่ไทยอร่อยกว่า อิ่มแล้วก็เดินซื้อของสักหน่อย ได้เสื้อยืดกับที่คั่นหนังสือมาเป็นที่ระลึก 2 อย่าง แม่ค้าที่นี่พูดไทยได้ ซื้อของสบาย แต่ละร้านราคาไม่เท่ากันอยากได้ของถูกต้องเดินหน่อย ถัดไปอีกฝั่งถนนเป็นตลาดสด หลังจากนั้นไปอีกหน่อย night market ซึ่งเป็นแหล่งแฮงเอ้าท์ของบรรดานักท่องเที่ยวก็เปิด แค่เดินดูเท่านั้นแหละค่ะ ไม่ได้ไปนั่งกับเค้าหรอก

ค่าใช้จ่ายวันที่ 3

ข้าวเช้า 3.5 $
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ 12 $
เสื้อยืด 70 ฿
ขนมกุ้ยช่าย 0.5 $
ที่คั่นหนังสือ 1 $

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชมรมรัก คลับมหาสนุก

ชื่อเรื่องภาษาไทย ชื่อเรื่องภาษาญี่ปุ่น ชมรมรัก คลับมหาสนุก ouran koukou host club เรื่อง และ ภาพ Bisco  hatori จำนวนเล่มทั้งหมด 18 สำนักพิมพ์ อ่านจบเมื่อ บงกชคอมมิคส์ 30 กรกฎาคม 2557 เรื่องย่อ            ฮารุฮิ เข้าเรียนในโรงเรียนโอรัง ที่แสนจะไฮโซด้วยทุนเรียนดี เธอใช้ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายด้วยการแต่งตัวเป็นนักเรียนชาย     วันหนึ่งระหว่างหามุมสงบ ฮารุฮิเดินหลงเข้าไปในห้องดนตรี 3 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ host club ชมรมสุดเว่อร์ของโรงเรียน แถมยังซุ่มซ่ามไปทำแจกันราคา 8 ล้านเยนแตก รุ่นพี่ที่ชมรมจึงบังคับให้ฮารุฮิทำงานชดใช้  ฮารุฮิถูกจับแปลงโฉมเป็นหนุ่มน้อยหน้าสวยกลายเป็นหนึ่งใน Host ของชมรมที่รวบรวมสุดยอดหนุ่มเจ้าเสน่ห์ของโรงเรียน       ฮารุฮิรู้ตัวว่าชอบทามากิ แต่ความสัมพันธ์ไม่คืบหน้าเพราะทามากิมีปมในจิตใจเรื่องครอบครัว สิ่งใดก็ตามที่อาจทำลายครอบครัวที่เขาสร้างขึ้น เจ้าตัวจะปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ครอบครัวของทามากิหมายรวมสมาชิกชมรมโฮสท์คลับด้วย ฮิคารุจึงตัดสินใจบอกรักฮารุฮิ ซึ่งเป็นการทำตามความรู้สึกของตัวเองแต่ก็อยากช่วยกระตุ้นให้ทามากิทำความเข้าใจความรู้สึกของตัว

ปฐพีไร้พ่าย

    ชื่อเรื่อง ปฐพีไร้พ่าย เขียน Jiulufeixiang แปล Hongsamut จำนวนหน้า 865 สำนักพิมพ์ Hongsamut version Meb E book อ่านจบ 19 มีนาคม 2561 เรื่องย่อ      สิงอวิ๋นซื้อไก่ที่โดนถอนขนจนเหี้ยนผอมแห้งแรงน้อยมาจากตลาด ไก่ตัวนั้นคือ เสิ่นหลี อ๋องปี้ชางแห่งแดนอสูร นางหนีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์และพลาดท่าถูกกองทัพที่มาเชิญนางกลับแดนอสูรตามบัญชาของจอมอสูรทำร้ายจนบาดเจ็บ สิงอวิ๋นให้นางกินหมั่นโถวเป็นอาหาร จับเจ้าไก่ไร้ขนอาบน้ำ แถมยังใช้ให้เฝ้าบ้านเหมือนแกล้งกัน เพราะเขารู้ว่าไก่ตัวนี้ไม่ใช้ไก่ธรรมดา เสิ่นหลีจึงพยายามหนีจากเขาทันทีที่ร่างกายแข็งแรงพอแต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักจะโดนจับลงหม้อเป็นไก่ตุ๋น สุดท้ายก็ต้องกลับมาตายรัง และเพราะสิ่งอวิ๋นอยากจะซื้อเนื้อให้เจ้าไก่โง่ของเขากิน ถึงได้เผยความสามารถที่ปกปิดมาตลอดจนผู้อื่นเข้าใจว่าเขาเป็นเทพพยากรณ์จนเรื่องราวเลยเถิดกลายเป็นความขัดแย้งกับองค์รัชทายาท เสิ่นหลีปกป้องชายหนุ่มไว้ได้ก็จริง แต่เมื่อบ้านที่สงบสุขถูกเผาจนวอด แค้นนี้ต้องชำระ สิงอวิ๋นจึงเสนอความช่วยเหลืออ๋องยุ๋ย โอรสที่เกิดจากพระสนมให้ชิงตำแหน่งรัชทายาท เสิ่นหลีใจจริงไม

ยามเมื่อลมพัดหวน

  ชื่อเรื่อง ยามเมื่อลมพัดหวน เขียน วาณิช จรุงกิจอนันต์ จำนวนหน้า 188 สำนักพิมพ์ บูรพาสาส์น (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 กันยายน 2536)     เรื่องย่อ      การบูรเหมือนนกในกรงทองของพ่อกับแม่ ผิดกับน้องชายที่ได้ไปเรียนถึงประเทศอังกฤษ แต่ละวันการบูรต้องปวดหัวกับการรับมือผู้ชายที่เข้ามาติดพัน ซึ่งแต่ละคนต่างมีพ่อกับแม่ของเธอคอยถือหางทำให้การบูรไม่สามารถตัดรอนได้ เมื่อความเครียดสะสมมากเข้าหญิงสาวจึงขออนุญาตพ่อและแม่ไปหาน้องชายที่อังกฤษ วันที่การบูรไปถึงพาทีประสบอุบัติเหตุรถชนจนขาหัก ชงจึงอาสาไปรับการบูรให้ แต่พาทีเห็นชงเป็นคนเนื้อหอม เลยโกหกว่าการบูรแต่งงานแล้ว มีลูกสาว 1 คน และเขียนจดหมายฝากชงไปเตี้ยมกับการบูร โดนใส่ไฟว่าชงเป็นเสือผู้หญิง ให้การบูรระวังตัว ชงพาการบูรมาพักที่บ้านพี่อ้วน พี่แสด รุ่นพี่ที่ปารีสซึ่งคุ้นเคยกัน ชงพาการบูรเที่ยวปารีส ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน การบูรเห็นว่าชงออกจะสุภาพไม่เหมือนกับที่น้องชายบอกมาในจดหมาย ยิ่งเขาเจ็บตัวเพราะช่วยตามโจรวิ่งราวการบูรจึงหายกลัวชายหนุ่ม ชงเองก็เริ่มหวั่นไหวกับการบูรแบบที่ไม่เคยเกิดกับผู้หญิงคนไหน จนเล่าเรื่องรักครั้งแรกที่ทำให้เ