วันนี้จูงมือน้องร่วมสำนักงานมาไหว้พระเก้าวัดกับ ขสมก. ที่ไม่ได้ไปมาเสียนาน คราวนี้เลือกสาย อยุธยา ตามใจน้อง อีกทั้งยังเป็นการไปกราบหลวงพ่อวัดพนัญเชิงประจำปีนี้เสียด้วย
8:00 น. รถเมล์เฉพาะกิจสาย 510 ออกเดินทางจากอู่บางเขน
วัดอัมพุวราราม จังหวัดปทุมธานี
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 เป็นวัดของทหารชาวรามัญที่มาช่วยรบในสมัยสงคราม 9 ทัพ เมื่อชนะศัตรูแล้วโปรดให้มาดูแลพระนครด้านทิศเหนือ กลุ่มใหญ่ ชาวรามัญจึงได้สร้างวัดขึ้น ที่วัดนี้ชาวคณะสายอยุธยากับสายนนทบุรีมาทอดผ้าป่าร่วมกัน หลังจาดทำบุญแล้วชาวบ้านเลี้ยงข้าวต้ม กับข้าวแช่เป็นอาหารเช้าด้วย วัดนี้อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เลยได้เดินเลยไปให้อาหารปลาด้วย แต่ปลาที่นี่ตัวไม่ใหญ่และเยอะเท่าวัดระฆังที่ไปบ่อยๆ
วัดท่าการ้อง
เป็นวัดโบราณมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง โดยการรวมวัด 2 วัดเข้าด้วยกัน คือ วัดท่าและวัดการ้อง สร้างขึ้นก่อนราว พ.ศ. 2092 โดยไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง มีเพียงบันทึกในพระราชพงศาวดารว่าพม่าได้มาตั้งค่ายที่วัดการ้อง ถึง 2 ครั้ง คือ สมัยพระมหาจักรพรรดิ เมื่อ พ.ศ. 2106 โดยพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ได้ยกทัพมาตั้งค่ายที่วัดการ้องเมื่อคราวสงครามช้างเผือก และอีกครั้งคือสมัยพระเจ้าเอกทัศ โดยเนเมียวสีหบดีแม่ทัพพม่าเมื่อ พ.ศ. 2310 ต่อมาในยุคปัจจุบันเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดท่าการ้องได้ถูกดัดแปลงเป็นโรงเรียนนายร้อยฝ่ายช่างเทคนิค โดยได้ใช้ศาลาการเปรียญเป็นห้องเรียน
สำหรับวัดนี้เคยมาครั้งแรกตอนไหว้พระ 9 วัดเมื่อหลายปีก่อน สมัยนั้นจุดขายสำคัญคือ เป็นวัดที่ห้องน้ำสวยมาก แต่มาคราวนี้ทุกอย่างดูผิดหูผิดตาไปหมด เหมือนสิ่งปลูกสร้างต่างๆจะมากขึ้น อย่างเช่น รูปสมเด็จโตองค์ใหญ่บนศาลาการเปรียญหลังเก่า อาคารประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่มีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งเกจิอาจารย์ และตลาดน้ำขนาดย่อมๆ สิ่งที่ทำให้จำวัดนี้ได้จริงๆคงเป็นกล่องทำบุญที่มีการเอาหุ่นมาดัดแปลง คอยส่งเสียงเชิญคนที่เดินผ่านไปมาให้เข้าไปร่วมทำบุญ เยอะจริงๆค่ะ หันไปทางไหนก็เจอ เสี่ยงเซียมซีกับหลวงพ่อยิ้ม ได้เบอร์ 20 ผลออกมาดีพอสมควร ถึงทุกอย่างจะมีอุปสรรค แต่ถ้าไม่ยอมแพ้แล้ว สุดท้ายก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
ไหว้พระเสร็จก็เดินไปดูตลาดน้ำที่เค้าว่ากันสักหน่อย สรุปโดยย่อก็คงจะประมาณศูนย์อาหารลอยน้ำ เพราะร้านอาหารต่างๆยกครัวไปทำกันในเรือแจวล้อมรอบส่วนที่เป็นเพิงถาวร วางโต๊ะ เก้าอี้ ไว้สำหรับให้คนนั่งทาน โดยรวมแล้วไม่ค่อยดึงดูดใจคนที่ท้องยังอิ่มสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังได้ข้าวเกรียบปลาหิ้วกลับมาขึ้นรถ 1 ถุงถ้วน
วัดตูม
เป็นวัดโบราณครั้งเมืองอโยธยา สร้างมาก่อนที่จะตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และวัดนี้คงจะเป็นวัดร้างมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อคราวเสียกรุงในปี ๒๓๑๐ หรือก่อนหน้านั้น เพราะเป็นวัดอยู่เกาะนอกเมือง เมื่อข้าศึกเข้าล้อมกรุงฯ ผู้คนก็พากันอพยพหลบหนีกันหมด แม้พระสงฆ์องค์เจ้าก็คงอยู่ไม่ได้ จึงร้างมาแต่ครั้งนั้น ครั้งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงได้มีผู้ปฏิสังขรณ์ขึ้นอีก และเป็นวัดที่พระสงฆ์จำพรรษามาจนทุกวันนี้ และเป็นวัดสำหรับลงเครื่องพิชัยสงครามมาแต่ก่อนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
"หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์" พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะแปลกประหลาด กว่าพระพุทธรูปองค์อื่นในประเทศไทย คือ พระเศียรตอนเหนือพระนลาฏเปิดออกได้กับพระเกศมาลาถอดได้ เมื่อปิดไว้ตามเดิมแล้วจะแนบสนิทเกือบเป็นชิ้นเดียวกันไม่ปรากฏรอยเลย ภายในพระเศียร เป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลาเหมือนหยาดน้ำเหงื่อ เป็นน้ำใสเย็นบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน สามารถรับประทานได้ โดยปราศจากอันตรายใดๆ และไม่ขาดแห้ง ปรากฏเป็นอัศจรรย์อยู่เช่นนี้ตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แม้จะตักออกมาแล้วใช้สำลีชุบหรือเช็ดให้แห้งบถือน้ำในพระเศียรของพระพุทธรูปองค์นี้ว่าเป็น “น้ำศักดิ์สิทธิ์” เกิดขึ้นด้วยอำนาจอภินิหารบารมี สามารถบำบัดรักษาสรรพโรคภัยไข้เจ็บและบรรเทาทุกข์ร้อนให้ความสุขความร่มเย็นได้ ตอนไปกราบท่านก็ได้ขอน้ำมันมาพรมที่ศีรษะนิดหน่อย พอเป็นศิริมงคลด้วยค่ะ
วัดราชประดิษฐาน
วัดนี้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เป็นวัดที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเฑียรราชทรงผนวชอยู่ และเมื่อก่อนเสียกรุงฯ ใน พ.ศ.2310 พระเจ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด) ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดประดู่โรงธรรม นอกพระนครก็ได้เสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดนี้ จวบจนกระทั้งเสียกรุงฯ แล้ว จึงถูกพม่าเชิญไปยังประเทศพม่าด้วย วัดนี้มีโบราณสถานอยู่รายรอบวัดพอสมควร ที่เป็นจุดสังเกตเป็นพิเศษคือ ใบเสมาของวัดนี้เป็นเสมาคู่
วัดแม่นางปลื้ม
วัดแม่นางปลื้ม สร้างเมื่อ พ.ศ.1920 ในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นวัดร้างที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงบูรณะวัดนี้ให้กับแม่ปลื้ม แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านธรรมดา บ้านอยู่ริมน้ำชานเมืองพระนคร อาศัยอยู่เพียงผู้เดียวไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จพายเรือมาแต่พระองค์เดียวท่ามกลางสายฝน พอเสด็จมาถึงเห็นการะท่อมยังมีแสงตะเกียงอยู่และเวลานั้นก็ยังค่ำอยู่ จึงได้แวะขึ้นมาในกระท่อม เมื่อแม่ปลื้มเห็นชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปียก จึงกล่าวเชื้อเชิญต้อนรับด้วยความมีน้ำใจ แต่พระองค์ท่านเสียงดังตามบุคลิกนักรบชายชาตรี แม่ปลื้มจึงกล่าวเตือนว่า ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเสียงดังนักเลย เวลานี้ค่ำมากแล้วเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินท่านทรงได้ยินจะโกรธเอา พระองค์กลับตรัสเสียงดังว่าอยากดื่มน้ำจันทร์ ข้าเปียกฝน ข้าหนาว อยากได้น้ำจันทร์ให้ร่างกายอบอุ่น ยิ่งทำให้แม่ปลื้มตกใจมากขึ้นอีก เพราะวันนี้เป็นวันพระจึงกล่าวว่า ถ้าเจ้าจะดื่มจริงๆ เจ้าต้องสัญญาไม่ให้เรื่องนี้แพร่หลาย เดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินรู้จะเป็นอันตราย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงรับปาก แม่ปลื้มจึงได้หยิบน้ำจันทร์ให้เสวย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประทับค้างคืนที่บ้านแม่ปลื้ม เช้าเสด็จกลับวัง ต่อมาได้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวังด้วยความที่แม่ปลื้มเป็นคนเมตตา จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หลังจากแม่ปลื้มเสียชีวิต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ และ เสด็จมาบูรณะวัดร้างเพื่ออุทิศให้แม่ปลื้ม
วัดนี้เป็นวัดที่ชอบที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ เนื่องจากเป็นวัดเล็กๆที่ บรรยากาศดูเก่าแก่จริงๆ ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้า จนถึงเจดีย์ซึ่งมีสิงห์ล้อมรอบอยู่ด้านหลัง
วัดหน้าพระเมรุ
เนื่องจากเคยเป็นวัดที่พม่าใช้ตั้งฐานบัญชาการจึงไม่ถูกพม่าทำลาย วัดนี้มีพระพุทธรูปสำคัญที่ต้องไปกราบนมัสการหลายจุด จะรีบเดินกัยหน่อยค่ะ เริ่มด้วยพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน พระพรหม หลวงพ่อขาว ในพระอุโบสถมีพระประธานปางมารวิชัยทรงเครื่องพระมหากษัตราธิราช “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ” ปิดท้ายด้วย พระวิหารคันธารราฐ นมัสการพระพุทธรูปศิลา (ศิลาเขียว) ประทับนั่งห้อยพระบาท พระนามว่า “พระคันธารราฐ” ที่วัดนี้มีเศียรพระที่มีรากไม้ล้อมรอบคล้ายๆที่วัดมหาธาตุด้วย แต่รูปร่าง และขนาดไม่ใหญ่เลยไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่า
วิหารพระมงคลบพิตร
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 นั้น พม่าใช้ไฟสุมลอกทองจากองค์พระ ทำให้องค์พระพุทธรูป ตลอดจนพระวิหารได้รับความเสียหายมาก นับแต่นั้นมาจนกระทั่งถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้น แต่มิได้ตั้งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาแต่อย่างใด สำหรับรูปเก่าๆตอนที่บูรณะก็มีแขวนให้เห็นด้านในวิหารโดยรอบ รวมถึงเศียรพระที่กู้มาจากซากโบราณสถานโดยรอบ
วัดใหญ่ชัยมงคล
วำหรับวัดนี้เราเริ่มต้นด้วย การไปสักการะที่ตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับถึงความสัมพันธ์ของวัดกับสมเด็จท่าน ดังนี้ เมื่อครั้งที่พระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี กับพระมหาอุปราชของพม่าจนได้ชัยชนะนั้น บรรดาทหารไม่สามารถติดตามช้างทรงได้ทัน จนพระองค์ต้องตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก ซึ่งตามกฏแล้วทหารเหล่านั้นจะต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่ในระหว่างที่รออาญาอยู่นั้น สมเด็จพระวันรัตน พระสังฆราชพร้อมด้วยพระสงฆ์ 25 รูปได้ขอให้พระนเรศวรพระราชทานอภัย ยกเว้นโทษให้กับทหารเหล่านั้น โดยให้เหตุผลว่าพระองค์เปรียบดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แวดล้อมด้วยหมู่มารก่อนที่จะตรัสรู้ เป็นการประกาศเกียรติและบารมีความกล้าหาญและความเก่งกาจของพระองค์ให้ขจรกระจายไปทั่วแคว้นทั่วแผ่นดิน เมื่อได้อภัยโทษให้เหล่าทหารแล้วสมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และความมีน้ำพระทัยของพระองค์ ที่มีต่อทหารเหล่านั้นทั้งยังเปลี่ยนโทษตายกลายเป็นสร้างบุญ พระะราชทานนามว่า “เจดีย์ชัยมงคล” ว่าแล้วก็ลองไปเมี่ยงๆมองๆ "เจดีย์ชัยมงคล" ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในอยุธยา สักหน่อยเห็นขั้นบันได้ไม่ชันนักว่าจะลองขึ้นดูสักหน่อย แต่ที่ไหนได้ขึ้นไปได้แค่ชานพัก มองเหลียวหลังมาเกิดขาสั่น ผสมกับความเหนื่อยที่สะสมมาตั้งแต่เช้า ความเป็นไปได้ที่จะเป็นลมกลิ้งลงมาเกิน 50 % เลยต้องล้มเลิกความตั้งใจ
วัดพนัญเชิง
วัดนี้เป็นวัดที่มาพระจำตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านนับถือท่านมากต้องมาไหว้ทุกปี พระห้อยคอองค์แรกๆที่ติดตัวมาเป็นสิบปีจนกร่อนแล้วกร่อนอีกก็หลวงพ่อโตนี่แหละ แต่ที่ตลกก็คือ ทุกครั้งที่มาไม่เคยได้ลงไปไหว้ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากเลยสักครั้งทั้งที่อยู่ติดกันทางด้านซ้ายของวิหารหลวงพ่อนี่เอง คราวนี้เลยได้โอกาสลงไปดูสักหน่อย ในศาลคนไม่เยอะเท่าไหร่ ผิดกับในวิหาร รูปปั้นแทนตัวท่านมีสององค์ องค์ชั้นล่างเป็นองค์ใหม่ ส่วนองค์ดั่งเดิมอยู่ที่ชั้นบน เห็นว่าท่านศักดิ์สิทธิ์เรื่องความรัก แต่เราไม่ได้ขอหรอกนะคะ เดินทะลุไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาก็เจอกับรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ
สำหรับทริปนี้ สิ้นสุดการเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพตอน หกโมงครึ่งค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น