วันนี้มีนัดกับเพื่อนสาวสาขา Food and Nutrition มาทานมื้อกลางวันอร่อยๆกัน บ่ายสองโมงก็แยกย้าย ไหนๆก็เข้ากรุงเทพฯมาแล้ว หลังจากไปพักเหนื่อยที่ห้องให้หายร้อนสักหน่อย ก็ได้ฤกษ์ออกไปชมความงามของพระเมรุ ซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณวดี ครั้งนี้สมวิญญาณช่างกล้องแบบเต็มตัว สะพายขาตั้งกล้องไปด้วยนะเออ
นั่งเรือข้ามฟากจากท่าวังหลังไปท่าวัดพระศรีมหาธาตุ แล้วเดินเลอะกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปโผล่ทางถนนที่ตัดกลางสนามหลวงพอดี นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 16:50 แต่แดดยังร้อนเปรี้ยง แต่ไม่เป็นไรค่ะ แดดแรง รูปที่ถ่ายออกมาจะสวย คนถ่ายคล้ำไปบ้างไม่ว่ากัน สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเดินทางมาถึงก็คือ การลงทะเบียนรับเอกสารแจกฟรี ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับพระเมรุ แต่ที่ถูกใจที่สุดต้องยกให้ ข้อมูลเกี่ยวกับรูปปั้นรูปสัตว์พิมพานต์ประดับพระเมรุ สัตว์แปลกๆที่ไม่เคยเห็นทั้งนั้น เห็นแล้วอยากหาหนังสือไตรภูมิพระร่วงมาอ่านจังเลย น่าเสียดายที่มาไม่ทันรอบที่มีวิทยากรนำชมตอน 16:00 ไม่เป็นไรค่ะ รอรอบต่อไป 18:00 ก็ได้ มีเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ เราเดินถ่ายรูปไปเพลินๆก่อน
เมี่ยงๆมองๆแถวทับเกษตร คงนั่งหลบแดดกันตรึม เราเพิ่งมายังมีแรง เดินเข้าเขตมหานทีสีทันดร(อิฐสีฟ้า) ไปดูเขาพระสุเมรุก่อนเป็นไร ว่าแล้วก็สะพายกล้องเดินดุ่มเข้าไปเก็บภาพ พระเมรุครั้งนี้ใช้สีชมพูกับสีส้มเป็นหลักค่ะ เป็นไทนสีที่เอามาใช้คู่กันแล้วดูสวยอ่อนหวาน ยิ่งพอถ่ายรูปให้เห็นสวนที่เต็มไปด้วยสัตว์หิมพานต์แล้ว งดงาม สมกับเป็นเขาพระสุเมรุจำลองจริงๆค่ะ ใกล้ 6 โมงเย็นเข้าไปทุกที พระเมรุฝั่งที่แสงยามเย็นส่องกระทบเป็นสีทองงดงามจริงๆค่ะ
เดินมาทางมุกทิศตะวันตก ซึ่งตรงกับพระที่นั่งทรงธรรม ระหว่างยกกล้องส่องพระเมรุสีทองอร่ามตา หูก็ได้ยินเหมือนมีเสียงคนบรรยายพาชมพระเมรุ เลยทำตัวเนียนๆเข้าไปฟังด้วยซะเลย ฟังๆดูแล้ว พี่ๆ(นั่นแหละ เทียบตามหน้าตาแล้ว)บรรยายได้เพลิดเพลินดี แถมได้ความรู้ด้วย รอฟังเต็มๆในรอบ 18:00 ดีกว่า
แล้วแล้วก็ถึงเวลา 18:00 ตามที่ได้นัดหมาย พี่ๆจากสถาปนิกจากกองช่างกรมศิลปากร เรียกรวมพลประชนชนที่รออยู่แถวนั้นมารวมกันที่ศาลาลูกขุน เริ่มด้วยกระบรรยายเกี่ยวกับแนวความคิดว่า พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์นั้นคือเทพที่จุติลงมาปกครองไพร่ฟ้าประชาชน เมื่อท่านสิ้น เราจึงต้องสร้างพระเมรุซึ่งเลียนแบบมาจากเขาพระสุเมรุที่เป็นที่อยู่ของเหล่าเทพเทวาเพื่อส่งเสด็จ แล้วก็อธิบายถึงอาคารประกอบต่างๆของพระเมรุ ก่อนที่จะพาออกเดินชมโดยเริ่มจากพระที่นั่งทรงธรรม โดยเริ่มที่บริเวณด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนพระอริยาบทก่อนที่จะทรงออก พี่ๆเล่าว่าตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ท่านมีแนวคิดให้ประหยัด จึงลดรูปพระเมรุจากสมัยก่อนที่อาจสูงเป็น 2 เท่าของพระปรางค์วัดอรุณมาเหลือเพียง 35 เมตรอย่างในปัจจุบัน ทั้งยังมีแนวคิดว่าหากอาคารใดที่สร้างแล้วสามารถใช้ได้หลายครั้งก็เป็นการดี โดยเฉพาะศาลาทรงธรรมที่ตอนนี้คือตึกยาวที่ตอนนี้จัดแสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 5 ตัวอาคารประกอบต่างๆที่สามารถประหยัดได้ ก็มีพระราชวินิจฉัยลงมาจากสมเด็จพระเทพให้ใช้เป็นเต็นที่สามารถรื้อถอนนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (ฟังถึงทรงนี้ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ไทยจริงๆค่ะ ท่านนึกถึงประชาชน ประหยัดเท่าที่ทำได้จริงๆค่ะ)
ตัวพระเมรุก่อนสร้างด้วยไม้ประดิษฐ์ ประดับตกแต่งด้วยผ้าทองย่นซึ่งนำเข้ามาจากประเทสจีน โดยแฝงสัญลัษณ์ต่างๆที่สื่อถึงสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ เช่นหน้าบรรณมีอักษรพระนาม และรูปวัวซึ่งสื่อถึงปีพระราชสมภพ ศิลปะต่างๆที่นำมาประดับ จะยึดตามสมัยนิยมในรัชกาลที่ 6 ส่วนรูปปั้นเทวดานั้นเป็นชุดเดียวกับที่ใช้ในงานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยนำมาเขียนสีใหม่ การประดับทองคำเปลวแท้มีเพียงด้านบนของฉากบังเพลิงเท่านั้น
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของพระเมรุค่ะ ได้งัดขาตั้งกล้องออกมาใช้เสียที ได้แถมมาตั้งแต่ซื้อกล้อง รอบพระเมรุมีช่างภาพตั้งกล้องกันเต็มไปหมด เราก็เนียนๆไปกับเขา
ผลงานจากขอตั้งกล้องค่ะ ไปคนเดียวก็เปรี้ยวได้ ชิมิ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น