ภาค | เจ้าหญิงแห่งอัลเซลมา |
เขียน | ลวัตร์ |
ความยาว | เล่ม 1 271 หน้า เล่ม 2 221 หน้า เล่ม 3 342 หน้า |
สำนักพิมพ์ | enter book |
plot
โคแรนนิอิด คนในตำนานของทวีปอื่นที่ได้ยินทุกเสียงในแผ่นดิน และถูกล้างจนสูญเผ่ามาขออาศัยอยู่ในแผ่นดินอัลเซลมา โดยพวกเขาเสนอเวทมนตร์ที่ตัวเองมีช่วยเหลืออัลเซลมาในเรื่องดินฟ้าอากาศ ซึ่งส่งผลต่อการเพาะปลูก ทำให้พวกเขาได้รับความเชื่อถือจากคนอัลเซลมา ในคืนบูชาในพิธีเก็บเกี่ยว รูปปั้นของเซยาร์ตต้นราชวงค์พังลงมาตอนที่ยาเรฟ และเซรีก้าวเข้าไปในวิหาร หลังจากนั้นสภาพอากาศก็แปรปรวน แชลลัมหัวหน้าของโคแรนนิอิดบอกว่าคนที่เป็นสาเหตุให้รูปปั้นเซยาร์ตแตกเป็นกาลกินี ต้องสำเร็จโทษคนๆนั้น ยาเรฟยอมเป็นคนๆนั้นเพื่อปกป้องเซรีหลานสาว แชลลัมจึงยื่นข้อเสนอกับเซรีว่า ถเาเซรีตอบคำถาม 3 ข้อของเขาได้ จะยอมช่วยยาเรฟ เซรีจึงเดินทางจากอัลเซลมาที่อยู่ทางใต้ ถามคำถามกับคนที่เธอคิดว่าจะตอบได้ จนไปถึงเมืองเหนือที่พ่อมดที่เธอคิดว่าทรงภูมิปัญญาอยู่ เจ้าหอกาล พ่อมดที่เธอพบเป็นคนแรกไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเธอได้ เขาบอกว่าอาจมีคยอื่นที่ตอบคำถามนั้นได้ ให้เซรีพักอยู่ที่นี่ก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อ คืนนั้นเซรีลองถามคำถามเดียวกันกับเทรมิสศิษย์ของพ่อมด เทรมิสไม่รู้คำตอบ แต่เขาช่วยเซรีโดยพาเซรีไปหาคนพยากรณ์ คนพยากรณ์บอกให้เซรีไปที่กำแพงขวางฟ้า วิหารสาปสูญ และ อ่าวงู คำตอบของคำถามอยู่ที่นั่นโดยมีข้อแม้ว่าจะต้องมีเทรมิสไปด้วย
เทรมิสพาเซรีมาที่หอสัตว์ภูติ 1 ในหอคอยผู้วิเศษซึ่งอยู่ใกล้กำแพงขวางฟ้า พี่สาวของเทรมิสถูกแชลลัมจับตัวไป เซรีที่คิดว่าเรื่องนี้เกิดจากความรับผิดชอบของตัวเองพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ ระหว่างปฏิบัติการเซรีได้เจอกับมงกุฏดาวเหนือคำตอบของคำถามแรก และเมราล ราชินีเกล็ดเงินแห่งโคแรนนิอิด เมราลชิงมงกุฏดาวเหนือไปได้
ที่วิหารสาปสูญ ทั้งสองได้พอกับลอร์คาน คนทราบซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเทรมิส ทันทีที่รู้ว่าเทรมิสเป็นใคร ลอร์คานก็ลากเทรมิสให้ไปที่เผ่ารูฮาร์ด้วยกัน เพื่อให้เทรมิสสืบทอดตำแหน่งของหัวหน้าเผ่าแทนเขา ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมตามไปเพราะอยากรู้จักบ้านเกิดของพ่อ แชลลัมกับเมราลตามไปก่อกวนจนเทรมิสต้องหลบไปตั้งหลัก แต่ไม่สามารถชิงมีดของลอร์คานซึ่งเป็นคำตอบของคำถามที่ 2 ไปได้
ลอร์คานไปส่งเซรีกลับอัลเซมาตามคำสั่งของเบรุคคอลีฟห์ ระหว่างทางทั้งสองเจอกับพวกโจรชายแดน ซึ่งอ้างตัวว่ายาเรฟอาของเซรีว่าจ้างให้พวกเขามาพาตัวเธอกลับไป แม้ว่าลอร์คานจะไม่ไว้ใจก็ยอมร่วมทางไปด้วยกัน คืนนั้นลอร์คานถูกพวกโจรทะเลทรายทำร้ายและส่งตัวไปให้เมราล การหายไปของลอร์คานทำให้เซรีรู้สึกสงสัยคนกลุ่มนี้ จึงตัดสินใจหนีแต่พวกนั้นอัญเชิญมังกรไล่ตามเธอทำให้เซรีตกอยู่ในอันตราย ฟินน์ สัตว์ภูติของเซยาร์ตบรรพบุรุษของเธอปรากฎตัวเข้าช่วยเซรีไว้ได้ ฟินน์เล่าอดีตของเซยาร์ตกับโคแรนนิอิดซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในปัจจุบัน และสถานการณ์ของเทรมิสที่กำลังจมอยู่กับอดีตที่เขาเคยทำร้ายตาเพราะความแค้นที่ตาเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของเขา ซึ่งเป็นที่มาของพลังพิฆาตที่ทำให้เทรมิสกลายเป็นสัตว์ร้ายตามคำทำนาย เซรีรีบไปช่วยเทรมิส เซรีให้เทรมิสเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตนเองให้เธอฟัง และพร้อมที่จะยอมรับทุกอย่างที่เป็นเขา ทำให้เทรมิสมีกำลังใจที่จะหลุดพ้นจากฝันร้ายที่เป็นผลมาจากมงกุฎดาวเหนือ ส่วนลอร์คานที่ฟื้นขึ้นมาภายใต้การดูแลของเมราลถูกวานให้ไปฆ่าตาของเทรมิส แต่เขานึกถึงความรู้สึกของเทรมิสจึงไม่ได้ลงมือ ความซื่อตรงในนิสัยของลอร์คานทำให้เมราลมองเขาเปลี่ยนไป เทรมิสที่รู้สึกได้ถึงอันตรายรีบพาเซรีมาที่หอสัตว์ภูติที่แดนเหนือ โจรชายแดนซึ่งตามเซรีมาเข้ามาก่อกวน ตอนที่ทุกคนในหอรวมถึงเทรมิสจัดการคนพวกนั้น แชลลัมก็ลอบลักพาตัวเซรีไป
แชลลัมหลอกล่อให้เมราลขอมีด้ามทองจากลอร์คาน แล้วใช้อำนาจของมีดควบคุมให้ลอร์คานฆ่าพ่อตัวเองเพื่อให้ลอร์คานเป็นของเธอเพียงคนเดียว แต่เทรมิสเข้ามายับยั้งวินาทีวิกฤตไว้ได้ทัน ทำให้เบรุคคอลีฟห์ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ลอร์คานที่รู้สึกตัวเป็นครั้งแรกว่าการทะเลาะกับพ่อเป็นเรื่องไร้สาระเพียงใดยอมเข้าพิธีสืบนามรับตำแหน่งเบรุคคอลีฟห์
แชลลัมใช้ยาเรฟเป็นเงื่อนไขบีบบังคับให้เซรีไปหาของชิ้นสุดท้ายที่อ่าวงูมาให้ ทันทีที่หาของชิ้นนั้นพบ แชลลัมกับเมราลก็มาปรากฎตัวเพื่อชิงของชิ้นนั้นไปจากเซรีทันที ความขัดแย้งในหัวใจของเซรีทำให้เซรีเผลอทำร้ายคนอื่น อีกทั้งทำให้พลังในตัวของเซรีระเบิดออกมา แต่สุดท้ายเมราลก็ได้ลูกแก้วกาลเวลาของชิ้นที่ 3 ไป เซรีที่กลับมาหาเทรมิสรู้สึกผิด แต่เรื่องที่เธอกำลังเผชิญนั้นเหมือนกับที่เทรมิสเคยมีประสบการณ์มาก่อน ซึ่งช่วยให้เซรีก้าวข้ามมันไปได้
คนเหนือและคนทรายพากองทัพมาสมทบกับอัลเซมาเพื่อนต่อกรกับโคแรนนิอิด แชลลัมจึงสั่งให้เมราลใช้อำนาจจากของวิเศษทั้ง 3 ชิ้น ทำให้ฝนตกอย่างหนักอีกครั้งเพื่อข่มขู่คนบนเกาะเสือ ความกดดันที่เกิดขึ้นทำให้คนที่มารวมกันคลุ้มคลั่ง พยายามจะไปบุกเรือของพวกโคแรนนิอิด เซรีออกไปห้ามแต่ไม่มีใครฟัง จนลอร์คานยื่นมือเข้าช่วยสงบฝูงชนทำให้เซรีได้พูดสิ่งที่อยากจะพูด หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกคนก็มองเซรีเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเทรมิสที่เหมือนจะครุ่นคิดเรื่องบางอย่างตลอดเวลา
เทรมิสตัดสินใจบุกไปที่เรือของพวกโคแรนนิอิดเพียงคนเดียวตามที่เขาคิดว่าเป็นหน้าที่ของสัตว์ร้ายตามคำทำนาย เซรีตามไป เมื่อเซรีตอบคำถามทั้ง 3 ข้อตามคำทำนายได้ถูกต้อง เซรีก็ได้พลังของปักษาเพลิง แชลลัมที่โดนต้อนจนมุมอยากได้พลังมหาศาล เขากลืนลูกแก้วกาลเวลาซึ่งเป็นต้นกำเนิดพลังพิฆาตเช่นเดียวกับที่มีในตัวของเทรมิส อีกทั้งพยายามใช้พลังที่ได้มาทำลายเกาะเสือ เซรีกับเทรมิสใช้พลังทั้งหมดที่มีปกป้องเกาะเสือไว้ได้ แชลลัมเสียชีวิตเพราะทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อทำลายล้าง เมราลตัดสินใจว่าจะไม่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงเกาะเสืออีกต่อไป โคแรนนิอิดจะล่องเรือเพื่อค้นหาดินแดนใหม่อีกครั้ง สงครามครั้งนี้จึงจบลง
charecter
เซรี ยีฮวาดี ทัสมุต : เจ้าหญิงในราชสกุลทัสมุต เป็นธิดาของเซบาร์ตที่ 34 ราชาองค์ปัจจุบัน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเซยาร์ตผู้ขี่เสือ เธอคือวิหคเพลิงตามคำทำนายของโคแรนนิอิด
เทรมิส นิ รูฮาร์ : พ่อมดลูกศิษย์ของเจ้าหอกาล เขาเป็นลูกครึ่งคนทรายกับชาวเหนือ พ่อของเขาคือ ทามีร์ วนิพกเร่รอนที่เป็นถึงน้องชายของเบรึคคอลีฟห์แห่งเผ่ารูฮาร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งแดนทราย แม่ของเขาเป็นลูกสาวของเจ้าหอกาล เขาโตมาในวัดของคนทราย ลุงที่เลี้ยงเขามาพยายามฝึกเขาให้เป็นลิปิกร ทำให้เขามีความสามารถในการประดิษฐ์ตัวหนังสือ มีพลังพิฆาตเพราะเคยทำผิดดพลาดเรื่องตาของเขา ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายตามคำทำนายของโคแรนนิอิด
ลอร์คาน : เขาทิ้งชื่อ อัสซาร์ด นิ รูฮาร์ และฐานะลูกชายของเบรุคคอลีฟห์ เพื่อความฝันในการรวบรวมแดนทรายให้เป็นหนึ่ง เพื่อความสงบสุข เป็นเจ้าของมีดซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากเบรุค 1 ใน 3 สมบัติที่เป็นคำตอบของคำถามของเซรี เขามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเทรมิส
เมราล เชอยิน : ราชินีเกล็ดเงินตามคำทำนายของเผ่าโคแรนนิอิด เติบโตมาภายใต้การดูแลของแชลลัมหัวหน้านักบวช
log
อ่านผลงานของลวิตร์เรื่องนี่เป็นเรื่องที่ 3 แล้วค่ะ ต่อจาก dragon delivery และ ผู้เสกทราย รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแบบเครียดๆแนวคล้ายผู้เสกทราย รู้สึกว่าอ่านเรื่องนี้แบบเพลินๆ ไม่ลุ้นเท่าผู้เสกทราย อาจเป็นเพราะความรู้สึกโดยส่วนตัวที่ว่าเรื่องนี้พระเอกเก่งพอตัว ไม่ซื่อและดีเวอร์เหมือนสองเรื่องแรก ยังไงมันก็น่าจะแก้ปัญหาได้ไม่อยากละมั้ง
เล่ม 2 ชักเริ่มได้กลิ่นความหวานชัดขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เซรีพยายามจะช่วยเทรมิส นอกจากเรื่องนี้แล้วก็มีความรู้สึกไม่ชอบ แชลลัมตัวร้าย ซึ่งพัฒนามาจากความรู้สึกไม่ถูกชะตาในเล่มแรก เล่มแรกนี่เข้าใจอยู่ว่าทำไปเพื่อเผ่า แต่พอเล่มสองนี่ถึงขนาดหลอกให้ลูกฆ่าพ่อ ไม่รู้ว่าพอเข้าเล่มจบเจ้านี่จะเพิ่มดีกรีความเลวเข้าได้ขนาดไหน
อ่านเล่ม 3 จบ ได้ข้อสรุปว่านิยายเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแนวสันติอีก 1 เรื่อง ที่สอนให้คนทุกคนอยู่ร่วมกัน ขอแค่ต่างฝ่ายรู้จักพอสักหน่อย เปิดใจเรียนรู้กันสักนิด สำหรับตัวเองก็มีประสบการณ์ตรงคล้ายๆตอนที่เกจกับฌวรีไปผจญภัยในถ้ำงูน้ำเหมือนกัน ตอนเข้าไปทำงานใหม่ๆ เราไม่ชอบผู้บริหารคนหนึ่งตามคำบอกเล่าของคนอื่นๆ แต่พอได้ทำงานบางอย่างให้ ลองสัมผัสด้วยตัวเองก็เห็นว่าคนๆนั้นไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด จริงอยู่ว่ามีบางส่วนที่ไม่ตรงใจ สุดท้ายความรู้สึกในใจก็เปลี่ยนไป ความไม่ชอบในตอนแรกเบาบางลง คนที่เรารู้สึกดีด้วยตั้งแต่แรกพบซะอีกที่พออยู่กันนานๆไปความรู้สึกกลับแย่ลง ตั้งแต่นั้นมาตั้งใจว่า จะไม่เกลียดใครเพราะฟังเรื่องของเขาจากปากคนอื่น จนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง…
หลังจากเครียดกันมาทั้งเรื่อง หลังๆมีบทกุ๊กกิ๊กของเซรีกับเทรมิสน่ารักๆให้คนอ่านได้อมยิ้มด้วยค่ะ โดยเฉพาะบทกาลนิรันทร์นี่น่ารักมากๆ ตอนนี้กำลังอ่านภาค dragon gate ที่ลงในพันธ์ทิพย์อยู่ เห็นว่าจะเอามารวมในการพิมพ์ครั้งต่อไปด้วย… ดีจัง ปิดท้ายบันทึกนี้ด้วยประโยคที่ชอบค่ะ ตอนที่ฌวรีพูดกับเมราลบนเรือมังกรขาวในเล่มที่ 3
ท่านมีอำนาจทำให้ตนเองสุขสบายเมื่อไรก็ได้ ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องเซยาร์ตหรือ ไม่เคยได้ยินเรื่องของเบรุตหรือ เมื่อแรกพวกเขาไปถึง ดินแดนที่เขาเลือกจะอาศัยไม่มีอะไรแท้ๆ เดี๋ยวนี้ท่านเห็นว่าอัลเซมา รูฮาร์เป็นอย่างไรเล่า ข้ายอมรับว่าข้าเกิดมาเมื่อมีทุกอย่างแล้วจริงๆ เพียงแต่ข้าขอบอกท่าน ที่นี่บรรพบุรุษของข้าสร้างมา เขาลำบากยากเข็ญ และต้องใช้ความพยายามมากมาย และพวกเราก็ภูมิใจในสิ่งนั้น ข้าถามท่าน ถ้าท่านมาถึงบ้านหนึ่งที่เขาอยู่กันมาหลายสิบชั่วคน ฆ่าเจ้าของบ้านและอยู่อาศัยในบ้านของเขา ท่านจะอยู่ได้สบายจริงหรือ ข้ายังสงสัยอยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น