วันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ เพื่อออกเดินทากันตอนตี 5 เพื่อให้ถึงนครวัตก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เราเดินตามบันไดนาคเพื่อผ่านโคปุระชั้นนอกเข้าสู่บริเวณปราสาทด้านใน แล้วก็ต้องถอนใจเบาๆ กับกองทัพนักท่องเที่ยวที่ปักหลักรอถ่ายภาพแสงอาทิตย์แรกของวันอยู่บริเวณริมสระน้ำ เรามาที่หลังคงไม่วายมีกองทัพมือเข้ามาอยู่ในรูปด้วยเป็นแน่ ภาพที่ออกมาก็ประมาณรูปซ้ายสุดนั่นแหละค่ะ รออยู่จน 6 โมงครึ่ง ก็ยังไม่เห็นประอาทิตย์แบบจะๆ สักที ชาวคณะเลยปลีตัวออกจากวงล้อมมายืนชมภาพนูนต่ำ ที่น่าจะใช้สีฝนมาจากบรรดาลวดลายที่ปรากฎอยู่บนปราสาทหิน ราคาเปิดตัวอยู่ที่เลขสองหลักมีหน่วยเป็นดอลล่าห์ แต่พอเราถามแล้วไม่ซื้อ เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยราคาก็ค่อยๆตกลงมาเหลือไม่ถึง $5 แต่ ณ ตอนนั้นความอยากได้มันหมดไปแล้ว เสียใจด้วยนะพ่อค้า เนื่องจากเรามีเวลาน้อย เพราะเดี๋ยวต้องไปนครธมก่อนที่แดดจะร้อน เลยตัดสินใจออกเมาเดินชื่นชมปราสาทเพิ่มเติมสักหน่อย แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปในตัวปราสาทหลักอยู่ดี หันไปเห็นพระอาทิตย์เยี่ยมหน้าออกมาจากหมู่เมฆ เลยได้วิ่งโร่กลับไปเก็บภาพบริเวณริมยารายที่เดิมกับตอนแรก ดีที่พอมีคนถอนตัวไปบ้างเลยได้รูปแบบไม่มีคนบ้าง
ช่วงที่เรามานับว่าเป็นจังหวะที่ดีมาก เพราะช่วงเช้ากับช่วงค่ำอากาศจะเย็น สังเกตได้จากหมอกที่ระเรี่ยอยู่บนผิวน้ำในบาราย จุดหมายถัดไปของเราเป็นที่ๆ คุณพี่คนขับตุ๊กๆเขมรจัดให้ นั่นก็คือร้านอาหารเช้าในบริเวณเขตอุทยานประวัติศาสตร์นั่นเอง เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง แพงโหด อาหารธรรมดาจานละประมาณ $4 มือนี้อาหารที่กินภาษาเขมรเรียกว่า ลกลัก (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบนี้หรือเปล่า) เพื่อนกับพี่สั่งมาคนละจาน ส่วนเราสั่งหมูทอด ผลปรากฏว่าสิ่งที่เอามาเสิร์ฟหน้าตาเหมือนกัน ต่างกันที่ของเราไม่มีไข่ดาวเท่านั้นเอง ที่นี่เวลาเสิร์ฟเค้าจะเอาช้อนแช่น้ำมาในแก้วค่ะ ช้อนเป็นลายปราสาทหินน่ารักมาก เห็นแล้วหมายมั่นปั้นมือว่าอยากจะซื้อกลับไปใช้เลยทีเดียว
กินข้าวเสร็จสายเกือบ 9 โมง ช่วงฤดูอาการเย็น จุดไหนที่ต้นไม่เยอะๆหมอกยังไม่จางเลยค่ะ จุดหมายถัดไปของเรา ถือเป็นภาพจำของอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้เลยทีเดียว ซึ่งก็คือ นครธม นั่นเอง ก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณของนครธม เมืองที่ถือว่าเป็นนครหลวงแห่งพุทธศาสนาอย่างแท้จริงในเสียมราฐก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับใบหน้าอันแสนเมตตาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่สลักอยู่ที่ยอดพระปรางค์ทุกองค์ของปราสาท เทียบกับนครวัดแล้วถึงนครธมจะสร้างทีหลังแต่เหมือนสภาพโดยรวมจะทรุกโทรมกว่า ขนาดก็เล็กกว่า แต่เรากลับชอบมากกว่า อาจเป็นเพราะความรู้สึกถึงรอยยิ้มที่เป็นมิตร โดยเฉพาะนางอัปสรบนพนังที่เราเดินผ่าน นางอยู่ในเวิ้งที่เราต้องมองลอดช่องหน้าต่างเข้าไป หันเจอะกันพอดี อดไม่ได้ขอถ่ายภาพมาเป็นที่ระลึกสักหน่อย ที่นี่เราได้มีโอกาสไหว้พระด้วย ตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ จะมีคุณยายจุดธูปให้เราไหว้พระ โดยนักท่องเที่ยวก็บริจาคไปเล็กน้อย ที่นี่เราผูกสายสิญจ์กลับมาด้วย เป็นสีชมพูแปร๊ด และยังอยู่ติดข้อมือเราอีกเป็นปี
เพราะนัดกับพี่คนขับรถไว้ 10 โมงกว่าบวกกับเพื่อนสาวเธอดันกลัวการเดินบนสะพานนาคเลยไม่ได้เข้าไปดูปราสาทบาบวน แค่ถ่ายรูปตรงบันไดนาคเท่านั้น ปิดท้ายการท่องเที่ยวจุดนี้ที่ลานช้าง เห็นรูปแกะสลักบนลานช้างแล้วก็อดไม่ได้ ขอชักภาพข้างๆสัตว์ประจำชาติของไทยในแดนเขมรสักหน่อย
สองปราสาทถัดไปต้องขอสารภาพว่า ไม่มั่นใจเรื่องชื่อปราสาท ความทรงจำอันเลือนลาง รู้สึกว่าไกด์ ออกเสียงว่าปราสาทตะเกว แต่พอมาเปิดหนังสือเทียบแล้วไม่มั่น ขอละไว้เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจะดีกว่า แววแก้มือลอยมาแต่ไกล คราวนี้สัญญาว่าจะมาแก้มือแบบข้อมูลแน่นๆ สำหรับปราสาทนี้ก็มี หน่วยบริการธูปสำหรับไว้พระเช่นกัน ป้าแกจุดไว้เสร็จแต่ไม่มีใครขึ้นไป เพราะเงินปลีกขาดแคลน ปราสาทนี้เป็นปราสาทที่เห็นความแตกต่างระหว่างของเก่ากับร่องรอยการบูรณะค่อนข้างชัดเจน ถือว่าเป็นปราสาทขนาดเล็ก ส่วนอีกปราสาทเริ่มพร้อมใจกันขี้เกียจบวกกับเมาปราสาทหินเลยไม่ได้เดินเข้าไปแค่ถ่ายรูปไกลๆ
สถานที่ถัดไปเป็นแผนที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากพวกเรารักษาเวลาได้ดี เลยมีการเจรจาเพิ่มเติมกับคนขับรถให้ช่วยพาไปที่ปราสาทบันทายสรี (Lady temple) เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล เราเลยต้องเสียค่าน้ำมันเพิ่มให้ไป ตอนแรกพี่แกเสนอมาที่คนละ 5$ แต่สามสาวขอฟันราคาที่ 10$ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมแบบง่ายไปหน่อย จนคนต่อชักอยาก่อเพิ่ม ตอนที่แวะเติมปั้มหลอด ดูแล้วก็มาน่าใช้เงินถึง 10$ หลังจากนั่งรถมาประมาณครึ่งชั่วโมง มองดูบ้านเรือนที่เหมือนจะย้อนยุคกลับไปหลายสิบปีเมื่อเทียบกับประเทศไทย นอกเมืองแถวนั้นคงมีไฟฟ้าใช้แค่บางบ้าน เสาไฟริมถนนนี่ไม่ต้องพูดถึง เราก็เดินทางมาถึงปราสาทบันทายสรี สำหรับปราสาทนี้ต้องออกแรงเดินเข้าไปอีกค่ะ เป็นปราสาทขนาดเล็กที่คนเยอะเหมือนกัน เนื่องจากเป็นปราสาทหินที่ได้ชื่อว่าฝีมือการเกาะสลักทับหลังสวยที่สุด ประหนึ่งภาพสามมิติที่เดียว แต่ก่อนเข้าไปต้องขอชักภาพกับหลักยูเนสโก้หลักฐานมรดกโลกสักหน่อย แค่ประตูก็ฟินแล้วค่ะ สายมากลายเล็กละเอียดเหมือนลายบนผืนผ้าของหญิงสาวเดินเข้าไปไม่ผิดหวังค่ะ ฝีมือการเกาะสลักละเอียดดีจริงๆ มุมไหนๆก็น่าถ่ายรูปไปซะหมด ปราสาทเล็กๆแต่เราใช้เวลาดูกันนานพอดู เป็นปราสาทเดียวที่นัดแก้มือสามารถตัดออกจาก list ได้ค่ะ ที่นี่มีของที่ระลึกขายนิดหน่อย แต่เราแค่เดินดูไม่ได้ซื้อค่ะ หลังจาดนั้นก็พามาทานอาหารกลางวันกัน เมื่อเทียวกับเมืองเช้าแล้ว อาหารมื้อนี้ราคาพอๆกันแต่อยู่ในบรยากาศที่ดีกว่า ยกเว้นน้ำมะพร้าวปั่นของเพื่อนที่เป็นประหนึ่งไอสครีมกะทิใส่น้ำแข็ง ส่วนอาหารอื่นเช่นแกงกับผัดมีส่วนคล้ายของไทย แต่ต่างกันตรงที่มันใส่กะทิทุกอย่างเลยต่างกันที่ความเข้มข้นเท่านั้น
จุดหมายถัดไปคือปราสาทตาพรมค่ะ สำหรับที่นี่โด่งดังเนื่องจากเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง tomb rider ภาค 1 ถ้าจำไม่ผิดเป็นฉากทางเข้าเพื่อไปเอาสมบัติในตอนท้ายๆ โดยรากไม้จะแยกออกให้นางเอกเข้าไป ที่จริงที่นี่มีปราสาทประกอบอื่นๆอีก ซึ่งแต่ละจุดก็มีต้นไม้งอกทับเหมือนกัน ตอนที่ไปนอกจากจุด higthlight แล้วจุดอื่นซ่อมแวมอยู่ค่ะ ประมาณว่าถอดหินออกมาเป็นก้อนๆแล้วกองไว้เพื่อรอประกอบใหม่ เลยมีเหล็กค้ำยันอยู่เป็นจุดๆ เลยไม่ค่อยได้เดินไปไหนมาไหนเท่าไหร่
ระหว่างนั่งรถย้อนกลับมานครวัดซึ่งเป็นรอบที่ 3 ของทริปนี้ เราคุยให้พี่คนขับรถฟังว่า เข้าไป 2 รอบจากด้านหน้าแต่เดินไปไม่ถึงไหนสักที คราวนี้พี่แกก็เลยพาเข้าจากด้านหลังเสียเลย โดยพี่ท่านจะไปรอรับที่ด้านหน้าค่ะ อันนี้ทำโดยไม่ปรึกษานะคะขอบอก ฮากันเบาๆแต่ก็ไม่มีใครโต้แย้งว่าแล้วก็ลงเดินเท้ามุ่งหน้าสู่ประตูหลังของนครวัด ซึ่งก็พอมีเพื่อนร่วมทางอยู่บ้าง แต่เทียบกับด้านหน้าไม่ติด ระหว่างทางก็มรปราสาทหินให้เห็นค่ะ แต่เวลาเราเหลือน้อยแล้ว ขอมุ่งไปที่ปราสาทก่อนเลยละกัน
เดินกันมาพักนึงพอเหนื่อยนิดๆก็ถึงค่ะ ฝั่งนี้เหมือนตัวโคปุระจะไม่ค่อยเหลือแล้ว เข้าไปก็เจอระเบียงคตซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายเกาะสลักเต็มไปหมด และที่ขาดไม่ได้ไปไหนก็เห็นประหนึ่งเป็นเทวตำนานอันดับหนึ่งของประเทศ คือ ภาพตอนกวนเกษียรสมุทรค่ะ
หลังจากนั้นก็มีมหกรรมปีนบันไดขึ้นจากระเบียงคตแต่ละชั้นเพื่อขึ้นสู่ปรางค์ประธานชั้นบทสุด บริเวณนี้ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนิดนึงค่ะ ห้ามใส่แว่นใส่หมวก ถึงจะสูงแต่บันไดก็มีราวให้จับ ตอนขึ้นไม่มีปัญหาอันใด แต่ตอนลงยังไม่ทราบชะตากรรม แต่ไหนๆมาถึงนครวัดแล้วไม่ขึ้นเขาประสุเมรได้อย่างไร
ปรางค์ประธานด้านบนเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปค่ะ ถ่ายรูปจากกด้านบนไปที่ทางเข้าด้านหน้ารู้สึกเลยว่ามันสูงมาก เริ่มห่วงชีวิตตัวเองตนลงตะหงิดๆ ตอนเย็นๆเหนื่อยๆ แถมน้ำที่พกมาก็ดันหมด จะรอดชีวิตกลับไปตายที่บ้านไหมเนี่ย โชคดีอยู่หน่อยตอนขาลงมีเพื่อนลงด้วยเยอะ เลยไม่ค่อยน่ากลัว ประมาณว่าถ้าพลาดตกลงไปก็คงมีคนรับ(มั้งนะ) ลงมายืนข้างล่างได้ โล่งใจโข โชคชั้นที่ 2 คือ พอเราลงทางด้านหน้า บันไดมันซ่อนอยู่ในตัวอาคารมองไม่เห็นว่ามันสูงเลยเดินลงสบายๆ พอมายืนอยู่บนพื้นดินได้สำเร็จคิดอยู่อย่างเดียวคือ คนสมัยโบราณเค้าปีนขึ้นไปกัยยังไงเนี่ย บันไดสูง ชันมาก แถมไม่มีราวจับ ปิดฉากการท่องเที่ยววันที่ 2 ตอนพระอาทิตย์ตกดินพอดี พี่คนขับรถยังอุทาน very strong ของมันแน่อยู่แล้ว เสียตังค์ค่าเข้าตั้งวันละ 20$ คูณเป็นเงินไทยก็หกร้อยกว่าบาทเข้าไปแล้วนะท่าน หลังจากปฏิเสธข้อเสนอเรื่องสปาเท้า ก็แวะไปจองตั๋วรถขากลับ เพราะเพื่อนเราทาง 1 คนมีกำหนดกลับก่อน เพื่อความสะดวกเราก็เลยขอซื้อพ่วงไปด้วย กลับไปถึงที่พักวันนี้หลับฝันดีเลยทีเดียว
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 2
ข้าวเช้า ที่ร้านข้าวในเขตอุทยาน | 6$ |
ค่าน้ำมันไปบันทายสรี | 3$ |
ข้าวกลางวัน | 6$ |
รถกลับกรุงเทพ | 20$ |
ทำบุญไหว้พระที่นครวัด | 20฿ |
tip รถสามล้อ | 150฿ |
น้ำขวด | 0.5$ |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น