ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

คุณหนูปากร้าย x จิ้งจอกปิศาจ

ชื่อภาษาไทย ชื่อภาษาญี่ปุ่น คุณหนูปากร้าย x จิ้งจอกปิศาจ Inuboku secret service เรื่องและภาพ Cocoa Fujiwara อ่านถึง 7 สำนักพิมพ์ อ่านเมื่อ siam inter comics 22 ธันวาคม 2556 เรื่องย่อ           Maison de ayakashi แมนชั่นระดับสูงสุดที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเป็นเลิศ พร้อมทั้ง secret service แบบคนต่อคน สถานที่รวบรวมผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากปิศาจรุ่นปู่-ย่าที่เข้มข้นเป็นพิเศษ ซึ่งมักจะตกเป็นเป้าหมายของปิศาจเลือดบริสุทธิ์ เพื่อให้คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน      ริริจิโยะย้ายมาอยู่ที่อาคายาชิคังด้วยความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง เธออยากเข้มแข็งขึ้นเพื่อต่อสู้กับความว้าเหว่ที่คนรอบข้างไม่เคยเห็นความเป็นตัวเธอ นอกจากตระกูลที่มั่งคั่ง มีเพียง โซชิ SS ที่ทำตัวเหมือนลูกหมาถูกทิ้งมาคอยนัวเนีย จนริริจิโยะใจอ่อนปฏิเสธการทำสัญญาไม่ลง โซชิบอกกับริริจิโยะว่า รอคอยที่จะได้พบเธอมาตลอด เมื่อใช้เวลาอยู่ร่วมกันริริจิโยะเริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่พยายามจะเข้าใจในตัวตนของเธออย่างแท้จริง      โชคิจิน คาเงโร คู่หมั้นที่พ่อแม่เลือกให้ริริจิโยะกลับมาที่หอหลังเตร็ดเตร่ไปโน่นมานี่มานา

เสียมราฐ วันที่ 4

           วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางค่ะ เราออกจากที่พักกันตั้งแต่เช้าเพื่อไปท่ารถ หลังจากจ่ายค่าที่พักแล้ว ก็ขึ้นรถสามล้อที่ทางท่ารถส่งมารับ นักท่องเที่ยวที่มีแผนเดินทางเข้าประเทศไทยวันนี้มารวมตัวกันเพื่อรอเวลาขึ้นรถบัส         รถบัสที่โดยสารจากเสียมราฐโดยรวมค่อนข้างดีค่ะ รถคันใหญ่นั่งสบายกว่าตอนขามา มีแวะให้เข้าห้องน้ำระหว่างทางด้วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องซื้อของ (เอาเข้าไปสิน่า) แถมรถจอดค่อนข้างนาน เราก็เดินดูโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยรอเวลาขึ้นรถ       รถบัสมาส่งเราที่ด่านปอยเปตให้เดินข้ามแดนกลับไทย โดยให้สติกเกอร์สีแดงเป็นสัญลักษณ์ท่ารถ หลังจากนั้นก็ต้องมายืนรอรถมารับไปทิ้งไว้ที่ท่า ซึ่งเป็นร้านอาหารเล็กๆ ราคาไม่เป็นมิตรอีกที แต่ก็ต้องกินรอละนะ นานพอดูเหมือนกันกว่าจะได้ขึ้นรถ ซึ่งเป็นรถตู้ธรรมดานี่แหละ แอบเสียดายว่าน่าจะซื้อตั๋วลงแค่ปอยเปต แล้วขึ้นรถตู้มาลงที่อนุสาวรีย์จะเร็วกว่า ถึงกรุงเทพประมาณทุ่มกว่า กว่าจะเดินทางมาถึงห้องก็ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่ง ค่าใช้จ่ายวันที่ 4 ค่าที่พัก 3 คืน หาร 2 21 $ ข้าวไข่เจียว 50 ค่ารถเมล์กลับห้อง 27 น้ำส้ม 20      การเดินทางคราวนี

เสียมราฐ วันที่ 3

           วันนี้กว่าจะไสหัวออกจากที่พักก็สายพอดู สิบโมง สิบเอ็ดโมงได้ วันนี้เราเดินทางกันด้วยเท้าสองข้าง โดยอาศัยทิศทางที่สอบถามมาจากอากู๋ เมืองนี้เล็กนิดเดียวค่ะ บริเวณที่เราพักเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จนโรดมสีหนุ จึงไม่น่าแปลกใจที่บริเวณนี้ค่อนข้างเจริญผิดกับบริเวณที่เราขับรถออกไปแค่ครึ่งชั่วโมงลิบลับ แต่สิ่งก่อสร้างที่ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็ยังไม่เปลี่ยนไปคือ กำแพงรูปเทวดายุดนาค แต่อันที่อยู่ตรงวงเวียนนี่น่าจะเป็นของเก่าที่ยกมาจากแถวนครวัดละมั้ง          โดยจุดหมายปลายทางแรกคือ ร้านอาหาร ก็นะจะเที่ยงอยู่แล้ว ต้องเติมกำลังกันสักหน่อย เป้าหมายของเราคือ ร้านอาหารจีนในห้องแถวค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง เนื่องจากความขี้เกียจในการคิด เราเลยสั่งข้าวผัดกับน้ำแอปเปิ้ลปั่น รสชาติของข้าวผัดก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมาย แต่ที่เด็กคือน้ำแอปเปิ้ลปั่นเค้าใส่กะทิมาด้วยค่ะ ไอ้เราคิดว่าเค้าจะใส่กะทิเฉพาะน้ำมาพร้าวเลยสั่งน้ำแอปเปิ้ล ก็ยังไม่รอดอยู่ดี มิน่าในร้านถึงมีมะพร้าวกองอยู่เพียบ สรุป คือ ถ้าไม่อยากกินกะทิ มาเขมรอย่าสั่งน้ำปั่น สำหรับกะทิที่นี่คงเหมือนน้ำเชื่อมบ้านเรา แต่ที่น่าภูมิใจไม่หายว่าสินค้าไ

เสียมราฐ วันที่ 2

         วันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ เพื่อออกเดินทากันตอนตี 5 เพื่อให้ถึงนครวัตก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เราเดินตามบันไดนาคเพื่อผ่านโคปุระชั้นนอกเข้าสู่บริเวณปราสาทด้านใน แล้วก็ต้องถอนใจเบาๆ กับกองทัพนักท่องเที่ยวที่ปักหลักรอถ่ายภาพแสงอาทิตย์แรกของวันอยู่บริเวณริมสระน้ำ เรามาที่หลังคงไม่วายมีกองทัพมือเข้ามาอยู่ในรูปด้วยเป็นแน่ ภาพที่ออกมาก็ประมาณรูปซ้ายสุดนั่นแหละค่ะ รออยู่จน 6 โมงครึ่ง ก็ยังไม่เห็นประอาทิตย์แบบจะๆ สักที ชาวคณะเลยปลีตัวออกจากวงล้อมมายืนชมภาพนูนต่ำ ที่น่าจะใช้สีฝนมาจากบรรดาลวดลายที่ปรากฎอยู่บนปราสาทหิน ราคาเปิดตัวอยู่ที่เลขสองหลักมีหน่วยเป็นดอลล่าห์ แต่พอเราถามแล้วไม่ซื้อ เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยราคาก็ค่อยๆตกลงมาเหลือไม่ถึง $5 แต่ ณ ตอนนั้นความอยากได้มันหมดไปแล้ว เสียใจด้วยนะพ่อค้า เนื่องจากเรามีเวลาน้อย เพราะเดี๋ยวต้องไปนครธมก่อนที่แดดจะร้อน เลยตัดสินใจออกเมาเดินชื่นชมปราสาทเพิ่มเติมสักหน่อย แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปในตัวปราสาทหลักอยู่ดี หันไปเห็นพระอาทิตย์เยี่ยมหน้าออกมาจากหมู่เมฆ เลยได้วิ่งโร่กลับไปเก็บภาพบริเวณริมยารายที่เดิมกับตอนแรก ดีที่พอมีคนถอนตัวไปบ้างเลยได้รูปแบบ